Customer Reviews

ใช้ความสุขทำกำไร : Delivering Happiness
5
โดย: ทัมมะดา วันที่เขียนรีวิว: 15 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

รู้จักหนังสือเล่มนี้ผ่านทางรายการคุณสรยุทธ์ ซึ่งตอนนั้นกำลังจะออกจากงานไปทำงานกับพี่สาวซึ่งทำธุรกิจอยู่ ตอนแรกก็ยังไม่ได้สนใจจะอ่านมาก แต่พอพี่สาวมาบอกว่า เนื้อหาดีมาก น่าสนใจมาก มีหลายข้อที่น่าจะเอามาใช้กับการบริหารงานในองค์กรได้ ก็เลยตัดสินใจลองอ่านดู ประกอบกับตอนที่ไปทำงานกับพี่สาวแล้ว พี่สาวกำหนดให้พนักงานทุกคนในองค์กรอ่านหนังสือเล่มนี้ และเราได้เป็นคนคิดแบบทดสอบจากการอ่านหนังสือเล่มนี้

เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ สิ่งที่เห็นจะประทับใจในตัวของผู้แต่งคือ Tony Hsieh อันดับแรกเลยคือ ความตั้งใจและความมุ่งมันที่แรงกล้า ความเป็นคนที่มีพลังในทางบวกสูง ไม่ว่าจะเจออุปสรรคเลวร้ายหรือรุนแรงขนาดไหน สติ ความคิดพิจารณาถึงแก่นของปัญหาและวิธีการในการแก้ไขปัญหาก็สามารถช่วยให้เขาผ่านไปได้ทุกครั้ง สิ่งที่ประทับใจต่อมาคือ คนที่ตัดสินใจทำงานอยู่ ยังอยู่ข้างๆ ถึงแม้ว่าองค์กรจะเผชิญปัญหาที่ร้ายแรง ไม่แปลกใจเลยที่องค์กรที่เขาบริหารอยู่จะประสบความสำเร็จ เพราะไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ความผิดพลาดจากการทำงานที่แรกในการบริหารคน ทำให้เค้ามีวิธีการคัดเลือกคนเข้าทำงานที่ไม่เหมือนกับองค์กรอื่นๆ หรือแม้แต่ระบบการทำงานในองค์กรที่ทำให้ผู้คนในสังคมรู้สึกสนใจ รวมถึงความจริงใจและเปิดเผยในการทำธุรกิจ อ่านเนื้อเรื่องไปก็พอจะนึกภาพออกเลยว่าต้องการองค์กรที่ทำงานกันแบบมีความสุขมากๆ ทำให้เกิดความรู้สึกที่อยากจะเข้าไปทำงานด้วยจริงๆ เลยทีเดียว

หากพูดถึงความเหมาะสมของหนังสือเล่มนี้กับผู้บริหารองค์กรนั้น ผู้บริหารองค์กรต้องค่อนข้างเป็นบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ คิดแปลกแหวกแนว ใจกว้าง ยอมรับความคิดเห็นของคนในองค์กรอย่างแท้จริง กล้าเสี่ยงกล้าลงทุน ไม่ดำเนินองค์กรตามกรอบแนวความคิดเดิมๆ มีวิธีการพัฒนาคนในองค์กรที่ได้ประสิทธิภาพจริงๆ แต่สำคัญที่สุดสำหรับคนในองค์กรตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงพนักงานทุกๆคนทุกๆฝ่าย สิ่งที่จะต้องมีคือ ความจริงใจ และความจริงใจนี้เองที่จะส่งไปถึงกับบุคคลภายนอก ความจริงใจนี้ต้องไม่จำกัดเพียงแค่ในการทำธุรกิจเท่านั้น ยังเป็นการที่จะฝึกส่งผ่านความจริงใจให้กับบุคคลอื่นๆ ด้วย เป็นการส่งผ่านความสุขที่สามารถฝึกได้ง่ายๆ ในจุดนี้เองที่เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมของคนในองค์กรนี้ เพราะมีการฝึกและเรียนรู้ที่จะทำความดีเป็นคนดีไม่แค่เพียงในการทำงาน แต่ยังมีการแสดงออกถึงการใช้ชีวิตในประจำวันอีกด้วย

ถ้าจะให้คะแนนเต็ม 100 ให้ 120 เต็ม 5 ให้ 10 เลยค่ะ เพราะชอบมากหนังสือเล่มนี้ อ่านแล้วรู้สึกมีพลัง มีความหวัง มีกำลังใจ บางทีปัญหาเราที่เราคิดว่าหนักแล้ว พอมาอ่านชีวิตคนอื่นๆเยอะๆ มันกลับเล็กนิดเดียวไปเลยค่ะ เล็กแบบเล็กจริงๆ นะ ก็เลยต้องสู้กันต่อไปนะคะ คนเราจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่จากการนอนเฉยๆ นี่คะ ^-^
4
โดย: ทัมมะดา วันที่เขียนรีวิว: 13 กรกฏาคม พ.ศ. 2557

หากจะกล่าวถึงหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องกาลเวลาหรือที่เราเรียกกันว่า “Tense” ในภาษาอังกฤษนั้นมีผู้แต่งหนังสือในลักษณะนี้ออกมามากมาย และสำหรับหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่ผู้เขียนนั้นตั้งใจที่จะถ่ายทอดและสรุปเนื้อหาที่สำคัญให้ครอบคลุมทั้งหมดเพื่อประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นกับผู้อ่านทุกๆคน

เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจของผู้แต่งที่ต้องการจะให้เนื้อหาออกมาครอบคลุมแต่ต้องมีความกระชับ ซึ่งความกระชับนี้เองทำให้หนังสือเล่มนี้มีจุดอ่อนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบอกโครงสร้างที่ไม่ครอบคลุมรูปแบบประโยคที่ควรจะมีคือ ประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ นอกจากนี้ในแต่ละหัวข้อยังขาดคำบอกเวลาที่จะเป็นตัวสังเกตให้ผู้อ่านได้ในระดับหนึ่งว่า ถ้าหากเห็นคำว่าบอกเวลานี้ จะช่วยให้ทราบว่าประโยคนี้อยู่ในกาลเวลาใด จริงอยู่ที่มีคำบอกเวลาอยู่ในตัวอย่างประโยคที่ยกมา แต่ถ้าหากมีหัวข้อย่อยในเรื่องของคำบอกเวลาแทรกอยู่ในแต่ละTENSE เลยจะดีมาก ต่อไปคือเรื่องคำอ่านที่ผิดและไม่ตรงตามหลักการออกเสียงที่ถูกต้องของเจ้าของภาษา ทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสนและความเข้าใจที่ผิด อีกทั้งยังส่งผลให้ผู้อ่านจำการออกเสียงที่ผิดๆติดไปด้วย และในส่วนเนื้อหาที่จะกล่าวถึงเป็นส่วนสุดท้ายคือควรมีคำอธิบายในคำเฉลยด้วย เพราะในการศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองของผู้อ่านนั้น ไม่เหมือนกับการเรียนหนังสือที่มีผู้สอนอยู่หน้าห้องหรือในชั้นเรียน เวลามีปัญหาสามารถถามในห้องเรียนได้ แต่ในการศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง เมื่อมีปัญหาหรือมีคำถามก็ไม่สามารถไปปรึกษาหรือถามผู้รู้ได้ การที่มีคำอธิบายครบถ้วนในส่วนเฉลยจะเป็นเสมือนผู้รู้หรือครูที่สอนในชั้นเรียนให้กับผู้อ่านได้ในระดับนึง

ต่อมาจะเป็นในเรื่องของรูปเล่ม หน้าปกมีสีสันสดใสชวนหยิบขึ้นมาอ่าน เนื้อหาข้างในพิมพ์เป็นขาวดำ มีตัวการ์ตูนประกอบอยู่ แต่ติดอยู่นิดนึงตรงที่ตัวการ์ตูนที่เอามาประกอบนั้นไม่สัมพันธ์กับเนื้อหา และใช้รูปซ้ำวนๆ ซ้ำๆ กันในทุกๆ บท ต่างกันตรงแค่ตำแหน่งและขนาดเล็กหรือใหญ่กว่ากันเพียงเล็กน้อย จึงลดความน่าสนใจในการอ่านลง ซึ่งในหนังสือที่เนื้อหาค่อนข้างเยอะและเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับไวยากรณ์แบบนี้ ควรจะมีการจัดวางรูปแบบหรือใช้ภาพประกอบที่ดึงดูดความสนใจให้เกิดความอยากอ่านไม่อย่างนั้นก็จะเป็นหนังสือที่ให้ความรู้และประโยชน์มากมายแต่กลับไม่มีใครสนใจที่จะอ่านสิ่งที่อยู่ข้างใน

สรุปโดยรวมยังให้อยู่ในระดับดีค่ะ เพราะอ่านแล้วได้เนื้อหาสาระค่อนข้างเยอะ ถ้าเทียบกับขนาดเล่มและราคา
www.batorastore.com © 2024